ภาพรวมเขตเศรษฐกิจของเมียนมาร์
และเมื่อเจาะลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการสร้างท่าเรือพัฒนาท่าเรือ
ระบบการขนส่งโลจีสติคทางเรือระหว่างไทยกับเมียนมาร์ เริ่มต้นกันที่เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ๆทั้ง
3 แห่งของเมียนมาร์ ก็ประกอบไปด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาที่นครย่างกุ้ง
ถัดมาก็เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในเขตตะนาวศรีทางภาคใต้ของเมียนมาร์ ชัดเจนเหมือนกันว่ากลุ่มนี้
หรือในเขตนี้มีกลุ่มทุนของไทยเข้าไปลงทุน และล่าสุดก็จะมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งที่
3 ในเมืองจอท์พยู รัฐยะไข่ นอกจากนี้เมียนมาร์ก็อยู่ในระหว่างการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เมืองมูเซ
ซึ่งเป็นเมืองที่ติดชายแดนระหว่างเมียนมาร์กับจีนก็ทำมาหลายปีแล้ว
และก็มีแผนจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนที่เมืองเมียวดีติดชายแดนไทย
และอีกเมืองหนึ่งก็คือเมืองตาบูติดกับชายแดนอินเดีย รัฐบาลเมียนมาร์นั้นประกาศแผนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ
19 แห่งทั่วประเทศ ที่มีน้ำหนักและก็นำร่องมากที่สุดนั้นก็คือ
ที่เมียวดีถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม และการเกษตรรวมถึงเรื่องของประมงด้วย
โดยในปี 2550 คือเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลเขาก็ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษประมาณ
8 เขตมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางแถบตะวันตก และทางตอนใต้
สำหรับเศรษฐกิจของเมียนมาร์ในอนาคตนั้นศูนย์วิจัยธุรกิจ และธุรกิจธนาคารไทยพานิชย์ประเมินว่า
สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปของเมียนมาร์นั้นมีแนวโน้มดีขึ้นและเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น
แต่เมียนมาร์เองก็จะมีทิศทางและแนวโน้มการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างไรนั้นก็จะต้องสอดรับกับยุทธศาสตร์ที่จะมาตอบรับกับนโยบาย
ของรัฐบาลเมียนมาร์ในอนาคตให้มีความต่อเนื่อง และก็ชัดเจนตลอดเวลา หนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจกับเรื่องของระบบโลจีสติคส์นั่นเอง
เพราะฉะนั้นแล้วระบบโลจีสติคส์ทางน้ำหรือการขนส่งทางน้ำนับเป็นหัวใจสำคัญเพราะโดยที่ตั้งของเมียนมาร์นั้นเชื่อมต่อระหว่างทั้งเอเชียใต้
เอเชียตะวันตก และก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเมียนมาร์ได้มีท่าเรือตามแนวริมแม่น้ำภายในประเทศ
และก็กระจายอยู่ในแต่ละรัฐ และมีท่าเรือขนส่งทางทะเลที่เรียกว่าดีพซีพอร์ท
ซึ่งใช้ในการขนส่งทั้งหมด 9 ท่า ท่าเรือที่ใช้ในการขนส่งทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมาร์ก็คือท่าเรือย่างกุ้ง
ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีอัตราการใช้บริการถึง 90 %ของท่าเรือทั้งหมด
รับเรือที่มีระวางตั้งแต่ 15000 ตันขึ้นไป
พื้นที่ทางตอนเหนือและตอนกลางของเมียนมาร์ไม่มีส่วนใดติดกับทะเลเลย จึงทำให้การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าทางทะเลไปพื้นที่ทางตอนเหนือ
และภาคกลาง และทางตอนล่างของเมียนมาร์มีอยู่ทางเดียวคือ ต้องอาศัยทางรถยนต์
ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตมัณฑเลย์ก็เป็นพื้นที่ราบ
ท่าเรือติลาวา เป็นท่าเรือที่รัฐบาลเมียนมาร์กำลังที่จะทุ่มเม็ดเงินในการที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าทางเรือ
ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้รองรับการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 120,000 ตู้
แต่ว่าในอนาคตนั้นจะมีการพัฒนาขีดความสามารถในการขนส่ง
ให้สามารถรองรับตู้สินค้าได้มากถึง 1,000,000 ตู้ ซึ่งเทียบเท่ากับท่าเรือกรุงเทพในบ้านเราท่าเรือและเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
เพื่อรองรับการลงทุนจากนาๆประเทศที่มีเป้าหมายจะพัฒนาให้เสร็จก่อนการเปิดประชาคมอาเซียนในปลายปีหน้า
เป้าหมายสำคัญก็เพื่อเร่งสร้างงานให้กับประชากรในประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ท่าเรือและเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวากำลังถูกจับตามองจากนักลงทุน ในฐานะแหล่งรองรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่
รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมในระดับ SME ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตสินค้าไฮเทคต่างๆไปจนถึงชิ้นส่วนยานยนต์
ที่ขณะนี้เมียนมาร์กำลังอ้าแขนรับเป็นอย่างดี
ล่าสุดพบว่าในเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ มีบริษัทต่างชาติเตรียมตั้งโรงงานที่นี่แล้วกว่า
45 บริษัทจาก 11ประเทศ ส่วนท่าเรือติลาวานับว่าเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในย่างกุ้ง
และเป็นท่าเรือแห่งที่ 2 ที่มีความสำคัญ เพราะท่าเรือแห่งนี้อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองย่างกุ้งมากนัก
ใช้เวลาเดินทาง 40 กว่านาทีก็ถึง สินค้าสำคัญที่ส่งผ่านท่าเรือแห่งนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเบา เช่น อะไหล่รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเมียนมาร์ได้ให้สัมปทานแก่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาบริหารท่าเรือ
และเขตเศรษฐกิจพิเศษไปแล้ว 2,400 ไร่
จากพื้นที่ทั้งหมด 15,000 ไร่ ในปี 2558 ท่าเรือติลาวาจะทุ่มเม็ดเงินกว่า 3,000 ล้านบาท
พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อผลิตสินค้าส่งออก
การให้บริการปัจจุบันท่าเรือติลาวาเทียบเท่ากับท่าเรือกรุงเทพคือรองรับได้ประมาณ
1,000,000 ตู้ ซึ่งขยายเต็มพื้นที่ของเขาคาดว่าประมาณ 7,000,000 ตู้
เพราะว่าเมียนมาร์ได้ใช้พื้นไปประมาณ 1 ใน 7 ส่วนเท่านั้น
และขณะเดียวกันก็มีพื้นที่เศรษฐกิจที่รองรับให้ประเทศญี่ปุ่นไปเพียง 1 ใน 6 ประมาณ
2,400 ไร่ และส่วนที่เหลือก็เป็นพื้นที่ที่เขาเตรียมไว้สำหรับในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ทั้งนี้การเติบโตของปริมาณการขนส่งสินค้าเข้าออกผ่านท่าเรือแห่งนี้
มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-25 % และแน่นอนว่าเมื่อเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาเสร็จสมบูรณ์แล้ว
จะส่งผลให้เขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาแห่งนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมียนมาร์
และอาเซียน
ภาพรวมของเมียนมาร์ประเทศที่มีทางออกทางทะเลเชื่อมสู่อ่าวเบงกอล และไปสู่มหาสมุทรนั้น
ยังต้องใช้เวลาและการพัฒนาเทคโนโลยีมากมาย
กลับมาดูที่ประเทศไทย ไทยถือว่ายุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อนั้นชัดเจน
และมีแม่น้ำรวมถึงทะเลสองฟากฝั่ง ทั้งอันดามัน และในส่วนของอ่าวไทย
การท่าเรือแห่งประเทศไทยก็พร้อมที่จะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในสิ้นปีหน้า
โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านทางน้ำทางทะเล บริการการขนส่งต่างๆจึงจะต้องมีการปรับปรุงทุกรูปแบบเพื่อเพิ่มขีดการขนส่งทางน้ำ
และระบบโลจีสติคส์เชื่อมโยงกัน
การท่าเรือแห่งประเทศไทยก็มีแผนการพัฒนาท่าเรือแหลมฉะบังให้เป็นประตูการค้าหลัก
และเพิ่มประสิทธิ์ภาพบริการท่าเรือกรุงเทพ หรือว่าคลองเตยในการรองรับปริมาณสินค้าให้เพิ่มสูงมากขึ้น
ซึ่งจะสอดรับกับยุทธศาสตร์ของประเทศไทย คืออาเซียนคอนเนคทิวิตี้
นอกจากนี้เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว ไทยยังคงต้องรักษาความเป็นผู้นำด้านศูนย์กลางการขนส่งของอนุภูมิภาคต่อไป
เท่าที่เราตรวจสอบไปก็จะมี 3 กลยุทธ์สำคัญคือ การพัฒนาท่าเรือเดิม การพัฒนาบริการใหม่ๆ
และการพัฒนาความร่วมมือ ส่วนกลยุทธ์หลักด้านที่ 2 คือ
เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการ พัฒนาด้านเทคโนโลยีสาสนเทศทั้งระบบ
ปรับปรุงรูปแบบการบริหารงานองค์กร และกลยุทธ์สุดท้ายที่น่าสนใจคือการพัฒนาบุคลากร
และทรัพยากรบุคคลเพื่อที่จะทำให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขันได้
ท่าเรือที่ถือว่ามีมานานสำหรับประเทศไทยคือ ท่าเรือกรุงเทพ หรือคลองเตย
ปัจจุบันแออัดจริงๆ แต่ว่าพื้นฐานเทคโนโลยี และการเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีมานานนั้น
จำเป็นยังต้องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือคลองเตยต่อไป
ยุทศาสตร์การขนส่งทางน้ำถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะมีปริมาณการค้า ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก
และก็การนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ท่าเรือกรุงเทพ หรือคลองเตยซึ่งถือได้ว่าเป็นท่าเรือระหว่างประเทศแห่งแรกของไทย
และก็เปิดบริการมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงถือว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญของการคมนาคมขนส่งทางน้ำของไทย
ตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกลำเลียงออกจากเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้
เป็นหนึ่งในเรือบรรทุกสินค้าหลายลำที่เข้าออกท่าเรือกรุงเทพอยู่เป็นประจำ ในช่วง 9
เดือนแรกของปีงบประมาณ 57 มีเรือที่เข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพทั้งสิ้น 2,398 เที่ยว
ลดลง 4.12 % จากความต้องการสินค้าในประเทศที่อ่อนแอตามเหตุการณ์ทางการเมืองช่วงต้นปี
แต่ในด้านปริมาณสินค้ายังคงเพิ่มขึ้น 1.8 % อยู่ที่ 19.5 ล้านตัน
สินค้าที่ผู้สั่งซื้อแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์จะถูกตรวจสอบสินค้า หากไม่มีความผิดปกติใดๆจะสามารถนำออกไปได้ทั้งตู้ภายในครึ่งชั่วโมง
แต่หากเป็นสินค้าที่สั่งรวมกันตู้คอนเทนเนอร์จะถูกลำเลียงมาที่จุดพักสินค้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบผ่านระบบอีพอร์ท
ทำให้ผู้สั่งซื้อรับรู้ได้ทันทีว่าสินค้ามาถึงแล้ว รวมถึงบริษัทชิปปิ้งก็สามารถมาตรวจสอบสินค้าได้
จากนั้นก็จะนำไปเก็บภายในโกดัง หากภายใน 3
วันไม่มีผู้มารับสินค้าก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเพิ่มเติม
ในช่วงที่เหลือของปีนี้แนวโน้มการส่งออกและนำเข้าผ่านท่าเรือก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น
หลังจากภาครัฐกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆได้อย่างเต็มที่
ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นทำให้ความต้องการสินค้าในประเทศมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูง
ประกอบกับการส่งออกน่าจะฟื้นตัวชัดเจนจึงเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนให้เศรษฐกิจค่อยๆกลับมาสู่ภาวะปกติ
และจากแผนยุทธศาสตร์ 8 ปีของกระทรวงคมนาคม
ได้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางน้ำอีก 20 % จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง
11.08% จากปริมาณการขนส่งทั้งหมด นั่นเพราะการขนส่งทางน้ำมีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเพียง
65 สตางค์ต่อตันต่อกิโลเมตร ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพแห่งนี้แล้ว
ยังมีท่าเรือที่สำคัญอีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่าเรือแหลมฉะบัง ท่าเรือปากบารา
รวมทั้งท่าเรือชายฝั่งต่างๆเพื่อเปิดประตูการค้าที่จะเชื่อมโยงสู่สะพานเศรษฐกิจอาเซียน
No comments:
Post a Comment